วันอังคารที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2557

การขึ้นรถบัสในชิคาโก้

ได้เวลาอัพบล็อกแล้ว ต้องอัพให้มันสุดๆ จริงไหม?? :) เรามาต่อกันด้วยเรื่องการขึ้นรถบัสเลยดีกว่า เพราะการขึ้นรถบัสของที่อเมริกาแตกต่างการประเทศไทยโดยสิ้นเชิง

1.ไม่มีคนเก็บเงินยืนอยู่บนรถบัสเหมือนไทย!! (แต่มีหน้าจอแสดงผลให้คนขับดูว่าเราจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว!)
นี่จะเป็นภาพบนรถบัสนะคะ
ด้านฝังซ้ายมือ : จะเป็นที่หยอดบัตร CTA Pass
ด้านขวามือ     : สำหรับคนที่ไม่มีบัตร เราก็จะต้องจ่ายเงินแทนค่ะ! ราคาประมาณ $2.50 (ไม่แน่ใจเท่าไหร่นะ) แต่ที่สำคัญ **ไม่มีเงินทอนนะคะ ต้องเตรียมให้พอดี!


ส่วนเจ้านี่! สำหรับ Ventra Card โดยเฉพาะค่ะ



ถ้าการทำรายการไม่สำหรัจ มันก็จะขึ้นแบบนี้ค่ะ! แต่ถ้าเรามั่นใจว่า Pass ในบัตรของเรายังไม่ถึงวันหมดอายุก็ให้แปะลงไปใหม่อีกรอบ เพราะหลายครั้งที่บัตรนี้มีปัญหา โดยเฉพาะหน้าหนาวนะ แทบจะเดินขึ้นรถบัสฟรีโดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินกันเลยล่ะ


แต่ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย ไม่มีปัญหาอะไรก็จะขึ้นแบบนี้นะ :) อ้อ! แล้วอย่าคิดที่จะลักไก่นะ เพราะคนขับเค้ามีหน้าจอเอาไว้ดูด้วย! :)


#เด๋วกลับมาอัพต่อนะคะ รูปหาย! :(

CTA pass VS Ventra card ตั๋วรถบัสและรถไฟในชิคาโก้

หลังจากที่ห่างหายไปนานมาก! ตอนนี้ฟางก็มาอยู่ที่นี่ราวๆ 6 เดือนกว่าๆแล้ว ในที่สุดก็ว่าง...ว่างจนต้องมานั่งเขียนบล็อกเหมือนเดิม :)

วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องการขึ้นรถบัสและรถไฟในชิคาโก้กันนะคะ :)

นี่จะเป็นบัตรแบบ CTA Pass

VS

 
ถามว่าแตกต่างกันอย่างไร?? มันก็ไม่ค่อยแตกต่างกันนะคะ เพราะใช้ขึ้นทั้งรถไฟและรถบัสเหมือนกัน
แต่ที่แตกต่างก็คือ....CTA pass เป็นบัตรไม่แข็ง เหมือนกระดาษอ่ะ
Ventra Card แข็งเหมือนบัตรเครดิตทั่วไปอ่ะ
CTA Pass ต้องซื้อแบบ Pass เท่านั้น
Ventra Card สามารถเติมเงินเข้าในบัตร แล้วก็ซื้อแบบ Pass ได้ด้วย
CTA Pass ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มในการซื้อบัตร จ่ายเฉพาะ Pass ที่เราเลือก
Ventra card ต้องจ่ายเงินเพิ่ม $5 แต่ก็สามารถรีฟันได้โดยการลงทะเบียนในเวปไซต์
 
 
เรามาเริ่มกันที่ Pass ต่างๆกันเลยดีกว่าค่ะ :)
 
 
 
ที่เห็นจะมีแบบ CTA กับแบบ Pace จริงๆสำหรับคนที่ไม่ค่อยออกไปนอกตัวเมืองก็ไม่ต้องทำหรอกค่ะ เพราะส่วนมากในชิคาโก้ก็จะมีเพียงแค่ CTA อย่างเดียว
นี่จะเป็นรถบัสของ CTA
 

สำหรับคนที่จำเป็นต้องขึ้นรถไฟ ก็ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ เพราะรถไฟก็เป็น CTA เหมือนกัน :)

 

นี่เป็นรถ Pace ค่ะ ส่วนมากก็จะออกไปนอกเมือง

 
แต่ขอแอบกระซิบนิดนึง ที่นั่งของรถ Pace ดีกว่า CTA เยอะค่ะ :)
 
ขอบคุณข้อมูลจาก : http://en.wikipedia.org/wiki/Red_Line_(CTA)
 
 


วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ประวัติ Agora ใน Chicago

     
สวัสดีอีกครั้ง กับการเดินทางมาเรียนที่ชิคาโก้นะคะ
 
วันนี้ฟางมีโอกาสได้ไปที่ Grant Park ซึ่งอยู่ทางใต้ของ Chicago
แต่อยู่ไม่ไกลจาก Downtown เท่าไหร่หรอกค่ะ ปลอดภัย
 
 


 
พอไปถึงก็เห็นหุ้นอะไรแปลๆไม่รู้อยู่เต็มไปหมดเลย เหมือนมีแค่ลำตัว ขา แล้วก็เท้า แต่ทำไมไม่มีหัวก็ไม่รู้
 
 
 
มันเขียนไว้ที่พื้นค่ะ Agora ถ้าสังเกตุรอบๆ Agora จะเห็นตัวหนังสือ ฟางไม่แน่ใจว่าเป็นชื่อครอบครัวหรือว่าอะไร แต่ต้องยอมรับเลยว่าผลงานศิลปะชิ้นใหญ่ชิ้นนี้สวยงามมากทีเดียว
 

พอไปยืนแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองจะตัวเล็กลง lol 
 จริงๆที่นี่ก็ไม่ได้มีอะไรมาก แค่ไปให้เห็นกับตา แล้วก็ถ่ายรูปมาฝาก แต่ที่สำคัญฟางหาประวัติของ Agora ในภาษาไทยไม่เจอ เพราะฉะนั้นฟางก็เลยมานั่งแปลให้ทุกๆคนได้อ่านกัน
 


Agora คือผลงานศิลปะที่มีความสำคัญอย่างหนึ่งของชิคาโก้  Agora เป็นชื่อหนึ่งของกลุ่มคนที่ไม่มีศีรษะ และไม่มีแขนเป็นประติมากรรมที่หล่อด้วยเหล็ก  มีทั้งหมด 106 เท่า (53 คู่) Agora เป็นคำที่มาจากภาษากรีก แปลว่า สถานที่ที่มาพบกัน ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

 
นักศิลปะชาวโปแลนด์ Magdalena Abakanowicz เป็นคนสร้างศิลปะพวกนี้ขึ้นมา และถูกกล่าวว่างานศิลปะของเธอถูกสร้างอยู่เหมือนความกลัวของผู้คน ซึ่งเธอก็เคยกล่าวเอาไว้เช่นกันว่า "เป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตที่ไร้สมอง ต้องทำหน้าที่ตามคำสั่ง ต้อเชื่อตามคำสั่ง"
 
 
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : http://en.wikipedia.org/wiki/Agora_(sculpture)
 
เข้ามาคุยกันได้ที่ : Lips-of-an-angels
 


วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Fine Art of Fiber (Chicago)

 Fine Art of Fiber

 
งานนี้มีระหว่างวันที่ 8-10 พฤศจิกายน 2013
ที่ Chicago Botanic Garden
1000 lake cook road glencoe, IL 60022 
 
เป็นครั้งแรกเลยที่เปิดตัวมาพร้อมกับคำพูดที่เป็นทางการ ซึ่งมันก็ไม่ค่อยเหมาะกับฟางเลยสักนิด จริงๆแล้วฟางเพิ่งไปวันนี้ ส่วนเรื่องราวของเดือนที่ผ่านมาฟางจะอัพให้วันหลังนะเออ เอาเป็นว่ามารู้เรื่องของฟางคร่าวๆกันก่อนดีกว่า
 
ตอนนี้ฟางเรียนที่ INTRAX! พักอยู่ที่ Belmont หลายคนอาจสงสัย Belmont มันอยู่ที่ไหน เอาเป็นว่ามาชิคาโก้เมื่อไหร่ก็รู้จักเมื่อนั้นแล้วกันเนอะ :p
 
ดูจากแผนที่จะเห็นได้ว่ามันไกลมากกกกกก ก ประมาณ 20 Mile น่าจะได้นะ เวลาเดินทางเกือบ 2 ช.ม. จริงๆก็ไม่รู้จะไปทำไมอ่ะนะ เรื่องผ้าทอเราก็ไม่ได้ชอบ แต่มันเป็นงานที่เกิดขึ้นในชิคาโก้แค่ไม่กี่วันซึ่งถือว่าสำคัญ เราก็เลยต้องตามไปดูกันสักหน่อย :)
 
 
นี่คือรถบัสสาย 213 ถ้าใน ตัวเมืองหน่อยจะเป็น CTA แต่รถบัสคันนี้เป็น Pace แต่ก็ใช้บัตร CTA ได้นะเออ (เรื่องบัตรเด๋วค่อยว่ากันวันหลังเนอะ) ฟางชอบ Pace นะ เพราะที่นั่งจะนั่งสบายกว่าของ CTA เพราะด้วยความที่มัวแต่ถ่ายรูปทำให้ฟางนั่งเลยป้ายที่ต้องการจะลง เลยต้องเดินย้อนกลับมา ใ้เวลาประมาณ 10 นาที :(
 

 
ถ้าสังเกตุดีๆถนนเส้นนี้จะมีชื่อว่า Melody แต่ตอนนี้จำได้ว่าเหนื่อยมาก! เพราะฟางต้องเดินไปอีก 20 นาที! กว่าจะถึงที่หมาย ดีนะที่วันนี้ไม่ค่อยหนาวมาก
 

 

 
ฟางก็ไม่รู้ว่าที่นี่มันคืออะไร แต่แค่เห็นคำว่า Festival ก็น่าสนละ เอาเป็นว่าวันนี้เราแค่เดินผ่านๆแล้วกัน
 

 
ถ้าจะบอกว่าที่นี่คือที่ที่ฟางจะไปวันนี้ มันคงน่าแปลกมากใช่ไหม? แต่มันคือที่นี่จริงๆ ตอนแรกก็คิดว่าตัวเองจะหลงพอเดินไปสักพักก็เลยรู้ว่ามาถูกทาง
 
 
ในที่สุดเราก็เดินทาถึงทางเข้าแล้ว ใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่สวยมากๆเลย
 
 
ใบไม้เริ่มล่วงหมดแล้ว ช่วงนี้เป็นช่วงไม่น่ามาเที่ยวพวกสวนสาธารณะหรอก ยกเว้นจะมาดูใบไม้เปลี่ยนสี แต่ที่นี่ก็ไม่ได้ทำให้ฟางผิดหวังเลย
 

 
สีเหลืองทองๆ อาจจะถ่ายไม่ค่อยสวย แต่ก็พยายามเก็บมาฝากนะคะ
 
 
 
ด้านในนี้มีทั้งที่รับประทานอาหาร ทั้งจุดซื้อของฝาก รวมถึงการบริการข้อมูลต่างๆด้วย
 
 


 
สองภาพนี้จะอยู่ทางฝั่งขวามือของเรา
 


แล้วก็เลี้ยวซ้าน จะเจอหุ่นตัวนี้อยู่ทางซ้ายมือของเรา ฟางก็ไม่รู้ว่ามันทำมาจากอะไร แต่ดูแล้วก็สวยมากๆเลยนะ
 





นอกจากจะมีคนมาทำงานฝีมือให้เราดูแบบใกล้ๆแล้ว ใครอยากรู้วิธีการทำ ทุกคนก็สอนอย่างละเอียดเรียกได้ว่าไม่หวงความรู้กันเลยทีเดียว แต่งานนี้เด็กๆไม่เยอะ ส่วนมากจะมีแต่ผู้สูงอายุทั้งนั้น
 
 



งานนี้จะเน้นที่งานฝีมือ ทุกอย่างจะทำด้วยมือ รวมถึงชุดที่เราเห็นอยู่นี้ด้วย จริงๆมีเยอะกว่านี้ แต่เอามาให้ดูแค่นี้พอละ เด๋วจะมีแต่รูป 5555 คุณยายท่านนี้ก็กำลังมองหาวิธีการเย็บอยากขมักเขม่น ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะหาเจอหรือยัง เพราะคุณยายยืนนานมากกกกก ก (แล้วเกี่ยวกะฟางไหม? )
 
 


ภาพนี้เห็นไกลๆนึกว่างานสีน้ำ เพราะเดินเข้าไปใกล้ (บวกกับแอบสัมผัสนิดหน่อย) ก็เลยรู้ว่ามันเป็นเส้นใยของผ้า เรียกได้ว่าไม่เสียชื่อ Concept กันเลยทีเดียว
 
 


ส่วนเจ้าตุ๊กตาพวกนี้ เรามา Mary Christmas ล่วงหน้าเลยแล้วกันนะคะ :)
 
 
จริงๆแล้วงานนี้ก็ไม่ได้มีอะไรมาก นอกจากมาเดินดูผลงาน แล้วก็ซื้อของฝากเล็กๆน้อยๆ ลืมบอกไปว่างานนี้ถููกจัดที่สวนสาธารณะ เวลาที่เหลือฟางก็เอาไปเดินเล่น เลยได้รูปมาฝากเพื่อนๆพอสมควร :)
 
 
จริงๆที่นี่เป็นสวนกุหลาบ แต่ฟางมาผิดเวลา :( ถ้ามาถูกเวลามันต้องสวยแน่ๆเลย


 
รู้สึกว่าตรงนี้จะเรียกว่า England walls Garden เดินไปตามทางมีแต่เสียงนกร้อง  รู้สึกแปลกๆเหมือนกันนะ

 
ตรงนี้จะเป็น Dwarf Conifer Garden ต้นไม้มีหลายหลายสีสัน เรียกได้ว่าสวยมากๆเลยค่ะ

 
นี่คือ Japanese Garden ก็ไม่รู้นะว่าญี่เปุ่นจะเป็นแบบนี้หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆนี่คือชื่อเรียกของมันค่ะ

 
ยืนบนสะพานทางเชื่อระหว่าง Japanese Garden กับ Waterfall Garden
 

 
ตั้งแต่มาอเมริกาไม่เคยเห็นน้ำตก ที่นี่เป็นที่แรกเลยที่ได้เห็น ถึงมันจะเป็นแค่สิ่งจำลอง และไม่ใหญ่มากก็ตาม แต่ waterfall Garden นี้ก็สวยไม่แพ้ Garden อื่นๆเลยล่ะ
 

 
ในที่สุดก็ได้เวลากลับแล้ว ช่วงนี้ต้องรีบกลับ เพราะมืดไวมากๆ

 
ขอลาด้วยภาพนี้เลยกันนะคะ :)
 
ใครมีอะไรสงสัย ทักมาได้นะเออ : https://www.facebook.com/pages/Lips-of-an-angels
 
 

 





 

 
 
 
 

วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เดินทางมาถึงชิคาโก้ ด้วย Korean Air.

สวัสดีงามๆสักสองสามที หลังจากที่ปล่อยให้บล็อคอ้างว้างไปเป็นเดือน ต้องบอกเลยว่าตอนนี้อยู่ชิคาโก้มาครบเดือนแล้ว! เราจะมาย้อมหลังความทรงจำเล็กๆน้อยๆกันดีกว่า
 
ฟางเป็นคนที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษ และ ไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศมาก่อน เพราะฉะนั้นก็คงไม่ต่างอะไรกับคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ดังนั้น จะเขียนตั้งแต่เริ่มต้นเดินทางกันเลยแล้วกัน
 
ฟางกำลังเดินทางไปประเทศอเมริกาด้วยวีซ่า F-1 หรือ วีซ่านักเรียนอเมริกา ดังนั้นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด คือตั๋วเครื่องบิน + พาสปอร์ต + I-20 (ที่รร.ส่งมาให้)
 
1. เมื่อเรามาถึงสนามบิน สิ่งแรกที่จะต้องทำคือ ไป Check in ที่ช่องของสายการบินที่เราจองไว้
 
ของฟางเป็นสายการบิน Korean air ค่ะ
ถ้ามีกระเป๋าใบใหญ่ๆที่โหลดลงที่ใต้ท้องเครื่อง ได้แค่ 2  ใบนะคะ น้ำหนักประมาณ 20 กิโล(อันนี้ไม่แน่ใจ) แล้วก็ถือกระเป๋าใบเล็กๆขึ้นเครื่องได้ค่ะ อ้อ!  เราจะได้ บัตรขาเข้าแล้วก็ขาออกมาด้วย กรอกให้เรียบร้อยนะคะ
 
2. หลังจากบอกลาญาติๆเสร็จ ก็ได้เวลาฉายเดี่ยวแล้วค่ะ
 
 
 
หลังจากที่เรา Check in เสร็จ เราก็เดินขึ้นบันไดมาจะเจออีกด่านนึงที่เค้าตรวจพาสปอร์ต ตรวจสิ่งของในกระเป๋า แต่ฟางไม่แน่ใจว่าด่านไหนที่ฉีกบัตรขาออกของเรานะ
 


คงไม่บอกไม่ได้ว่านี่คือสัญลักษณ์สำคัญของสนามบินสุวรรณภูมิ ใครที่เดืนทางออกนอกประเทศก็ต้องมาถ่ายรูปที่นี่ทั้งนั้น เอาล่ะ เรามาสังเกตุดีกว่าว่าเราต้องไปที่ gate ไหน?




3. ถ้าเราจะไป Gate A/B/C/D ก็เดินไปทางซ้ายมือ 
 
 
 
แต่ถ้าจะไปทาง Gate D/E/F/G ก็เลี้ยวขวาค่ะ  ของฟางอยู่ Gate G ซึ่งอยู่ขวาสุด! แล้วมันก็ไกลมาก!!!  
 
นอกจาก Gate G ที่ว่านี้มันจะไกลแล้ว มันยังไม่สิ้นสุดแค่นั้น เพราะมันยังแยกเป็น G ...... เอาเป็นว่าไกลจนแทบไม่อยากจะเดินเลยแล้วกัน
 
 
4. หลังจากที่หา Gate จนเจอ แล้วก็รอเวลาในการเดินขึ้นเครื่อง ถ้ากำหนดเวลาดีๆก็ไม่นานนักหรอกค่ะ แต่บางทีมันก็ไม่มีที่นั่ง อันนี้ต้องทำใจไว้ก่อนเลย ฟางยืนรอประมาณ ชั้วโมงครึ่ง

 
หลังจากขึ้นไปอยู่บนเครื่อง Korean air แล้ว เรามาสำรวจความสะดวกสบายบนเครื่องบินลำนี้กันดีกว่าค่ะ
 
 
 
นี่คือสิ่งที่อยู่ต่อหน้าเรา จะสังเกตุว่าเราสามารถชาร์จอุปกรณ์ IT ได้โดยใช้สาย USB ซึ่งเราก็ไม่ต้องกลัวว่าแบตจะหมด เจ้าเครื่องนี้สามารถบอกเวลาว่าจะถึงจุดหมายปลายทางในอีกกี่ชม. เราบินสูงแค่ไหน มีเพลง มีหนัง เรียกได้ว่าเพลิดเพลินตลอดการเดินทางเลยทีเดียว
 
 
 
แต่ฟางไม่ฉลาดไง หาที่เสียบหูฟังไม่เจอ มารู้ตอนชั่วโมงวสุดท้ายว่าที่เสียบหูฟังอยู่ใต้ที่วางแขน ลองหาดูกันนะคะ แต่ฟางหาไม่เจอทุกอย่างเลยน่าเบื่อไปหมดเลย :(
 
 
 
จากประเทศไทยมาเกาหลีใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง ส่วนกระเป๋าที่เราโหลด เรารอรับที่ชิคาโก้ หรือสนามบินปลายทางได้เลย ไม่ต้องไปรับให้เสียเวลา
 
 
 
หลังจากที่เราเดินออกจากเครื่อง ก็มองหาคำว่า Transfer เพราะเราต้องการต่อเครื่องไปลงชิคาโก้ ซึ่งก็เหมือนเดิม ไกลมาก! เกือบจะเป็น Gate สุดท้ายเช่นเคย 
 

เดินไปตามท่สงเรื่อยๆเลยค่ะ ของฟางจะอยู่ที่ Gate 17
 

ตอนนี้กำลังเดินทางออกจากสนามบินเกาหลี สำหรับใครที่มาเปลี่ยนเครื่องนานๆ สามารถแวะเที่ยวเกาหลีก่อนได้นะเออ ถือว่าเป็นการมาพักเครื่องก็คุ้มเลยทีเดียว และที่สำคัญ "FREE" ลองดูได้จากเวปนี้นะคะ

http://www.airport.kr/iiacms/pageWork.iia?_scode=C1202020600  แต่เวลาซื้อตั๋ว เราไปดูที่สนามบินได้เลย มีทั้งแบบกลางวัน กลางคืน แต่ฟางมีเวลาน้อยเลยไม่ได้ไป ใครมีโอกาสก็ลองไปเที่ยวดูนะคะ
 
 
หลังจากเราเดินเข้ามาใน Gate ที่ 17 ก็จะมีคนเช็ค Passport แล้วก็ตั๋วเครื่องบินอีกรอบ เดินไปเรื่อยๆก็จะมีการตรวจกระเป๋สอีกค่ะ ระยะเวลาจากเกาหลีมาถึงชิคาโก้ประมาณ 12 ชม. ถือว่ายาวนานกันเลยทีเดียว
 
 
ฟางไม่มีรูปตอนมาถึงชิคาโก้เลย พอมาถึงปุ๊ปก็หิวจนตาลาย ลืมถ่ายรูปไว้เลย เด๋วจะมาอัพเกี่ยวกับชิคาโก้ตอนหน้านะคะ :)

 ใครมีอะไรสอบถามทักมาได้นะคะ : https://www.facebook.com/pages/Lips-of-an-angels